
การดูแลรักษาแอร์ให้สะอาดและมีประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้อากาศเย็นสบายและสุขภาพดี อีกทั้งยังช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่อง หลายคนอาจสงสัยว่า
ฉันสามารถทำความสะอาดแอร์เองได้ไหม? ข่าวดีคือด้วยความรู้และข้อควรระวังที่ถูกต้อง การทำความสะอาดและดูแลแอร์ในขั้นพื้นฐานสามารถทำได้ด้วยตัวเองที่บ้านโดยไม่ต้องพึ่งช่างมืออาชีพ
บทความนี้จะแนะนำวิธีทำความสะอาดแอร์อย่างง่ายและปลอดภัย รวมถึงวิธีทำความสะอาดภายในแอร์โดยไม่ต้องถอดเครื่อง และคำแนะนำว่าควรล้างแอร์บ่อยแค่ไหนเพื่อให้ระบบของคุณทำงานได้อย่างราบรื่น
ฉันสามารถทำความสะอาดแอร์เองได้ไหม?
คำตอบคือ “ได้” แต่มีข้อจำกัดที่ควรทราบ การทำความสะอาดแอร์ด้วยตัวเองนั้นสามารถทำได้ในส่วนที่ง่ายและปลอดภัย เช่น การล้างแผ่นกรองอากาศ (ฟิลเตอร์) และการเช็ดทำความสะอาดภายนอกของเครื่อง ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ผู้ใช้ทั่วไปทำได้โดยไม่ต้องมีความรู้ทางเทคนิคมากนัก การทำความสะอาดในส่วนนี้ช่วยให้แอร์ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ลดการสะสมของฝุ่นและเชื้อโรค
อย่างไรก็ตาม การทำความสะอาดหรือซ่อมแซมชิ้นส่วนภายในที่ซับซ้อน เช่น คอยล์เย็น (Evaporator coil) หรือระบบสารทำความเย็น ควรปล่อยให้ช่างผู้เชี่ยวชาญทำ เนื่องจากอาจมีความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บหรือทำให้เครื่องเสียหายได้
วิธีทำความสะอาดแอร์ด้วยตัวเอง
การทำความสะอาดแอร์ด้วยตัวเองสามารถทำได้โดยทำตามขั้นตอนดังนี้:
1. ปิดเครื่องและถอดปลั๊กไฟก่อนเริ่มทำความสะอาด
เพื่อความปลอดภัยสูงสุด หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับไฟฟ้าหรือชิ้นส่วนที่ยังมีกระแสไฟฟ้า ควรปิดแอร์และถอดปลั๊กไฟทุกครั้งก่อนเริ่มทำความสะอาด
2. ล้างหรือเปลี่ยนแผ่นกรองอากาศ (ฟิลเตอร์)
แผ่นกรองอากาศคือส่วนที่ช่วยกรองฝุ่นและสิ่งสกปรกก่อนที่ลมจะถูกส่งออกมาในห้อง โดยทั่วไปสามารถถอดออกมาแล้วล้างน้ำได้ หรือถ้าเป็นแบบใช้แล้วทิ้งก็ให้เปลี่ยนใหม่
- ใช้น้ำอุ่นและสบู่อ่อนล้างฟิลเตอร์
- รอให้แห้งสนิทก่อนใส่กลับเข้าไป เพื่อป้องกันเชื้อรา
- ควรทำความสะอาดฟิลเตอร์อย่างน้อยทุก 1-2 เดือน หากใช้บ่อยหรือในที่ที่มีฝุ่นมาก
3. เช็ดทำความสะอาดผิวภายนอกและช่องลม
ใช้ผ้าชุบน้ำหมาด ๆ เช็ดฝุ่นที่ผิวเครื่องและช่องลมอย่างระมัดระวัง หรือใช้เครื่องดูดฝุ่นแบบหัวแปรงดูดฝุ่น เพื่อไม่ให้น้ำเข้าไปโดนส่วนที่เป็นไฟฟ้า
4. ทำความสะอาดถาดน้ำทิ้งและท่อน้ำทิ้ง
ถาดน้ำทิ้งใต้คอยล์เย็นมักมีน้ำเกาะและอาจเกิดเชื้อราได้ ใช้ผ้าชุบน้ำสบู่อ่อน ๆ เช็ดทำความสะอาด พร้อมตรวจสอบท่อน้ำทิ้งว่ามีการอุดตันหรือไม่ ควรทำความสะอาดท่อน้ำทิ้งเป็นประจำเพื่อป้องกันน้ำล้นและกลิ่นไม่พึงประสงค์
5. ตรวจสอบและจัดการกับเชื้อราและกลิ่นไม่พึงประสงค์
ถ้าพบเชื้อรา ให้ใช้ส่วนผสมของน้ำส้มสายชูผสมน้ำ หรือสเปรย์ฆ่าเชื้อราเฉพาะทาง ฉีดหรือเช็ดบริเวณที่มีเชื้อรา เพื่อป้องกันการแพร่กระจายและกลิ่นเหม็น
6. ประกอบชิ้นส่วนกลับและทดสอบการทำงาน
หลังจากทำความสะอาดทุกส่วนเสร็จแล้ว ให้ประกอบแผ่นกรองและฝาครอบกลับที่เดิม เสียบปลั๊กไฟและเปิดเครื่องเพื่อตรวจสอบว่าแอร์ทำงานปกติหรือไม่
แมวสามารถนำโรคมาในบ้านได้หรือไม่?
หลายคนเลี้ยงแมวเป็นสัตว์เลี้ยงในบ้าน แต่ต้องระวังว่าแมวอาจนำเชื้อโรคบางชนิดเข้ามาในบ้านได้ เช่น เชื้อรา โปรโตซัว หรือแบคทีเรียบางอย่าง ซึ่งอาจทำให้เกิดโรคผิวหนังหรือโรคทางเดินหายใจ
โดยเฉพาะในบ้านที่มีแอร์ที่ไม่ได้ทำความสะอาดบ่อยๆ ฝุ่นและเชื้อโรคเหล่านี้สามารถสะสมในแอร์และแพร่กระจายได้ ดังนั้น การทำความสะอาดแอร์อย่างถูกวิธีและสม่ำเสมอจึงสำคัญมาก เพราะช่วยให้อากาศสดชื่นและลดความเสี่ยงจากเชื้อโรคหรือสารก่อภูมิแพ้ที่มาจากแมวและสัตว์เลี้ยงอื่น ๆ ในบ้านได้
การทำความสะอาดภายในแอร์โดยไม่ถอดเครื่อง
การทำความสะอาดภายในแอร์ส่วนใหญ่จะเป็นการดูแลในส่วนที่อยู่ในตัวเครื่อง เช่น คอยล์เย็นและใบพัด ซึ่งแม้จะไม่ต้องถอดเครื่องออก แต่การทำความสะอาดในส่วนนี้ต้องระมัดระวังและใช้วิธีที่ถูกต้องเพื่อป้องกันความเสียหาย
ใช้น้ำยาทำความสะอาดคอยล์ (Coil Cleaner)
น้ำยาทำความสะอาดคอยล์ที่จำหน่ายในท้องตลาดมีทั้งแบบต้องล้างออกและแบบไม่ต้องล้างออก (No Rinse Coil Cleaner) โดยน้ำยาจะช่วยละลายฝุ่นและสิ่งสกปรกที่ติดอยู่บนคอยล์เย็น
- ฉีดน้ำยาตามคำแนะนำบนฉลาก
- ปล่อยให้น้ำยาออกฤทธิ์ละลายสิ่งสกปรก
- เมื่อน้ำยาทำงาน น้ำที่เกิดจากคอนเดนเสท (น้ำหยด) จะช่วยชะล้างสิ่งสกปรกเหล่านั้นออกไป
ใช้เครื่องดูดฝุ่นหัวแปรงนุ่ม
ใช้เครื่องดูดฝุ่นหัวแปรงนุ่มเพื่อดูดฝุ่นออกจากคอยล์เย็นและใบพัดอย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้ใบพัดเสียหายหรือคอยล์บิดงอ
ใช้ลมอัดเป่าฝุ่น
ใช้ลมอัดเป่าออกฝุ่นบริเวณที่ยากจะเข้าถึงโดยมือ
ข้อควรระวัง: หลีกเลี่ยงการใช้น้ำฉีดโดยตรงลงบนชิ้นส่วนภายในโดยไม่รู้วิธี หรือถอดแยกชิ้นส่วนเอง เพราะอาจทำให้เกิดความเสียหายหรืออันตราย
ควรล้างแอร์บ่อยแค่ไหน?
การล้างแอร์บ่อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น การใช้งาน สภาพแวดล้อม และประเภทของแอร์
- แผ่นกรองอากาศ: ควรล้างทุก 1-2 เดือน หรือบ่อยกว่านั้นในพื้นที่ที่มีฝุ่นมากหรือมีสัตว์เลี้ยง
- ถาดน้ำทิ้งและท่อน้ำ: ควรทำความสะอาดทุก 3-6 เดือน เพื่อป้องกันการอุดตันและเชื้อรา
- ล้างภายนอก: ทุก 3-6 เดือนเพื่อรักษาความสะอาด
- ล้างแอร์โดยช่างมืออาชีพ: อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง โดยเฉพาะก่อนฤดูร้อน เพื่อการตรวจสอบและบำรุงรักษาอย่างครบถ้วน
ถ้าแอร์อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ฝุ่นเยอะ หรือใช้ตลอดเวลา อาจต้องล้างบ่อยขึ้นเพื่อให้เครื่องทำงานได้ดีและไม่เป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค
ข้อดีของการทำความสะอาดแอร์ด้วยตัวเอง
- ประหยัดค่าใช้จ่าย: ลดความจำเป็นในการเรียกช่างมาทำความสะอาดบ่อย ๆ
- ช่วยให้อากาศในห้องสะอาด: ลดฝุ่นละอองและสารก่อภูมิแพ้
- เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของแอร์: เครื่องทำความเย็นเร็วและประหยัดไฟมากขึ้น
- ยืดอายุการใช้งาน: ลดความเสียหายและการซ่อมแซมที่บ่อย
- ช่วยให้บ้านหรือที่ทำงานปลอดภัยและสะดวกสบายยิ่งขึ้น
เมื่อไรควรเรียกช่างผู้เชี่ยวชาญ?
แม้จะทำความสะอาดง่าย ๆ เองได้ แต่บางกรณีที่คุณควรให้ช่างมืออาชีพตรวจสอบและซ่อมแซม ได้แก่
- แอร์ไม่เย็นหรือเย็นน้อยลงอย่างมาก
- มีกลิ่นเหม็นรุนแรงหรือกลิ่นเชื้อรา
- พบเสียงแปลก ๆ หรือการสั่นสะเทือนผิดปกติ
- มีการรั่วไหลของน้ำหรือสารทำความเย็น
- ระบบไฟฟ้าขัดข้อง หรือเครื่องไม่ติดเลย
- ไม่มั่นใจในการถอดประกอบหรือซ่อมแซมด้วยตัวเอง
สรุป
การทำความสะอาดแอร์ด้วยตัวเองเป็นเรื่องที่ทำได้และเป็นประโยชน์มาก ถ้าทำตามขั้นตอนที่ปลอดภัย เช่น การล้างแผ่นกรองอากาศ เช็ดทำความสะอาดภายนอก และดูแลถาดน้ำทิ้ง อย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้แอร์ทำงานได้ดีขึ้น อากาศภายในบ้านหรือที่ทำงานสะอาดและสุขภาพดีขึ้น
แต่สำหรับการทำความสะอาดภายในแอร์ที่ซับซ้อน ควรใช้วิธีที่ปลอดภัย เช่น น้ำยาทำความสะอาดคอยล์ หลีกเลี่ยงการถอดแอร์เอง และเมื่อพบปัญหาที่ซับซ้อนควรเรียกช่างผู้เชี่ยวชาญ
การบำรุงรักษาแอร์อย่างเหมาะสมและสม่ำเสมอ จะช่วยยืดอายุการใช้งาน ประหยัดพลังงาน และสร้างความสบายให้กับทุกคนในบ้านและที่ทำงานของคุณ
Leave a Reply